vimarsana.com


เปรียบเทียบการปฏิรูปการเมืองการปกครองญี่ปุ่น-ไทย (ตอนที่ยี่สิบเอ็ด): “สามขี้เมาคุยการเมือง”
วันที่ 26 ก.ค. 2564 เวลา 12:00 น.
นวนิยายเรื่อง
“สามขี้เมาคุยการเมือง” (A Discourse by Three Drunkards on Government) นี้ ปรากฏสู่สายตาคนญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2430 ก่อนหน้าที่จะมีรัฐธรรมนูญสองปี และก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งแรกสามปี  เป็นผลงานของนากาเอะ โชมิน ส.ส. พรรคเสรีนิยมของญี่ปุ่น  และต่อมาองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) คัดเลือกให้เป็นหนึ่งในวรรณกรรมยิ่งใหญ่ของโลก
การสนทนาในนวนิยายเรื่องนี้น่าจะให้ข้อคิดที่ดีไม่น้อยสำหรับผู้อ่านบ้านเรา เพราะตัวละครในเรื่องนี้มีจุดยืนทางการเมืองที่แตกต่างกัน คนหนึ่งนิยมตะวันตก และต้องการให้ญี่ปุ่นดำเนินไปตามเส้นทางของประเทศตะวันตก นั่นคือ รับเอาอุดมการณ์เสรีนิยมและพัฒนาระบอบเสรีประชาธิปไตย ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นยังเห็นว่าคุณค่าตามจารีตประเพณีของญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับคนญี่ปุ่น
ฟังดูแล้วก็ไม่ต่างจากข้อถกเถียงในสังคมไทยขณะนี้ ที่มีฝ่ายหนึ่งต้องการให้สังคมไทยรับอุดมการณ์เสรีภาพ ความเสมอภาพและภราดรภาพและเจริญรอยตามแนวการปกครองของตะวันตก ส่วนอีกฝ่ายนั้นต้องการรักษาคุณค่าและประเพณีวัฒนธรรมแบบไทยและถ้าหากจะเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ
ตัวละครที่นิยมเสรีนิยมตะวันตกในเรื่องได้รับฉายาว่า
“สุภาพบุรุษ (ตะวันตก)” ส่วนตัวละครที่นิยมคุณค่าดั้งเดิมของญี่ปุ่นถูกตั้งฉายาว่า
“นักสู้ (ซามูไร)” ส่วนในบ้านเรา ฝั่งที่เป็นฝั่งเดียวกับ
“สุภาพบุรุษ” เรียกตัวเองว่า
“ฝ่ายประชาธิปไตย” และตั้งฉายาฝั่งตรงข้ามว่า
“สลิ่ม” บ้าง
ส่วนในบ้านเราที่เป็นฝั่งเดียวกับ
“นักสู้” ก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่าอะไร อาจจะยังนึกไม่ออกว่า ตัวเองเป็นอะไรแน่ ? (5555 !) เพราะไม่เห็นมีใครในฝั่งนี้แอ่นอกยอมรับว่าเป็น
“อนุรักษ์นิยม”  และก็ไม่ชอบให้ถูกเรียกว่า
“สลิ่ม” หรือ
“สามกีบ” เพราะชอบชูสามนิ้วเป็นสัญลักษณ์ในการรณรงค์
ส่วนตัวละครตัวที่สามในเรื่องเป็นเจ้าบ้านที่เปิดที่ให้ดื่มและสนทนา เขาคือ อาจารย์นันไค ผู้รักในการดื่มและการสนทนาเรื่องการเมืองเป็นชีวิตจิตใจ และได้ชื่อว่า เมื่อเมาแล้ว ปัญญาจะแล่นโลด !
คนที่นำเสนอความคิดของตัวเองในวงสุราก่อนใครคือ สุภาพบุรุษ และคราวนี้ก็จะนำเสนอความคิดที่เขากล่าวในวงเหล้าต่อไป
“สุภาพบุรุษ” : “มักมีคนกล่าวว่า การที่ประเทศหนึ่งๆร่ำรวยและมีอำนาจขึ้นได้นั้น เป็นเพราะมีผลิตภาพผลิตผลที่สูง โดยผลิตภาพที่ว่านี้เป็นผลมาจากความเป็นเลิศในทางวิชาความรู้  อันเป็นผลจากการค้นพบความรู้วิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น ฟิสิกซ์ เคมี สัตววิทยา พฤษศาสตร์ และประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านั้น รวมทั้งความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการอุตสาหกรรมและการค้า ทำให้ประหยัดเวลาและแรงงานไปได้มาก และผลผลิตที่ได้ก็จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาลและเหนือกว่าการผลิดด้วยแรงงานมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่มีคนมักจะบอกว่า มันเป็นหนทางที่จะสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง และเมื่อชาติร่ำรวยแล้ว ก็จะสามารถรักษากำลังแสนยานุภาพทางการทหารอันยิ่งใหญ่ไว้ได้  และถ้ามีโอกาส ก็สามารถส่งกองกำลังไปขยายและยึดดินแดนไกลๆในเอเชียและอัฟริกาได้   และส่งคนของตนไปในอาณานิคมเหล่านั้น สร้างตลาดเพื่อขยายการค้าและซื้อวัตถุดิบในราคาถูกและมาผลิตเป็นสินค้าในราคาแพง  ได้กำไรมหาศาล
และเมื่ออุตสาหกรรมเจริญรุ่งเรือง ตลาดขยายตัว กองกำลังทหารทั้งทางบกและทางทะเลก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย  และการเติบโตที่ว่านี้ไม่ได้เป็นผลจากการสมาทานในหลักการแห่งเสรีภาพ”
จากข้างต้น
“สุภาพบุรุษ” ต้องการกล่าวถึงความเชื่อของคนจำนวนหนึ่งที่ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจ คือ มีพัฒนาการความรู้ และนำความรู้นั้นไปใช้ในการผลิต การอุตสาหกรรม การค้า ส่งผลให้ประเทศมั่งคั่งร่ำรวย เมื่อร่ำรวยก็สามารถสร้างกองกำลังทิ่ยิ่งใหญ่ได้ และเมื่อมีกองกำลังที่ยิ่งใหญ่ได้ก็สามารถขยายดินแดนมีอาณานิคม ขยายตลาด กว้านซื้อวัตถุดิบและแรงงานราคาถูกและนำมาผลิตเป็นสินค้าที่ให้กำไรมหาศาลส่งเสริมความมั่งคั่งและแสนยานุภาพได้มากยิ่งขึ้น
แต่เขาไม่เห็นด้วยกับชุดคำอธิบายดังกล่าวนี้ เพราะ “การให้เหตุผลเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่รู้และการมองอะไรอย่างตื้นเขิน เพราะกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ล้วนมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันและมีสาเหตุเกี่ยวข้องกัน หากพิจารณาให้ดี เราจะพบสาเหตุที่แท้จริง ดังที่จะไล่ตรรกะให้เห็นดังต่อไปนี้ ความมั่งคั่งของประเทศเกิดจากความเป็นเลิศในทางวิชาการความรู้ และความเป็นเลิศทางวิชาการความรู้ก็มาจากความมั่งคั่งด้วย แต่อะไรเล่าที่เป็นต้นธารของความเป็นเลิศทางวิชาการความรู้  ความมั่งคั่งหรือ ? มันจะกลายเป็นปัญหาที่ว่าไข่กับไก่ อะไรเกิดก่อนกัน ?!!
จริงๆแล้ว การเรียนรู้ที่เป็นเลิศเกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์มีความก้าวหน้าในความรู้  แต่ทันทีที่ความรู้ก้าวหน้า ผู้คนก็ย่อมจะตาสว่างไม่เพียงแต่ในเรื่องวิชาการความรู้เทานั้น แต่ยังรวมไปถึงความเข้าใจในระบบการเมืองด้วย ดังนั้น ตั้งแต่ยุคโบราณมา ช่วงเวลาที่มีความก้าวหน้าในวิชาการความรู้อย่างรวดเร็วมากที่สุดในประเทศใดๆก็ตามจะเป็นช่วงที่ความคิดทางการเมืองเจริญเฟื่องฟูด้วย
วิชาการความรู้และความคิดทางการเมืองเปรียบได้กับกิ่งก้าน ใบ ดอก และผลที่งอกออกมาจากต้นไม้เดียวกัน โดยความรู้เปรียบได้กับลำต้น และทันทีที่ความรู้ก้าวหน้า และความคิดทางการเมืองเฟื่องฟู การบรรลุถึงเสรีภาพจึงเป็นเป้าหมายของกิจกรรมทุกอย่างทันที  และไม่ว่าจะเป็นใคร อาชีพอะไร  นักวิชาการ ศิลปิน ชาวนา ผู้ผลิต พ่อค้า ผู้ประกอบการ ล้วนจะมีความคิดอย่างหนึ่งที่อยูในใจพวกเขาตลอดเวลา นั่นคือ ความต้องการที่จะพัฒนาความคิดของตัวเองและบรรลุเป้าหมายทางความคิดโดยไม่มีอะไรมาจำกัด
และถ้าบรรดาคนที่อยู่ในอำนาจมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเข้าใจถึงแนวโน้มแห่งยุคสมัย และมีความเข้าใจในความรู้สึกของมนุษย์ และก้าวไปไกลกว่าแค่ความปรารถนาในอำนาจ พวกเขาก็จะส่งเสริมให้ภาวะผู้นำแก่บรรดาพลเมืองที่มีความแข็งขันทางการเมือง  และเปิดประตูให้กระแสลมแห่งเสรีภาพได้พัดผ่านเข้ามา และกลไกทางสังคมก็จะสามารถปฏิบัติการได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อันจะส่งผลให้ส่วนที่เน่าเสียของสังคมถูกจำกัดไปโดยปริยาย และความเจริญก้าวหน้าใหม่ๆก็จะเข้ามาแทนที่
นักวิชาการจะพยายามที่จะพัฒนาทฤษฎีต่างๆให้แม่นยำชัดเจนมากขึ้น  ศิลปินก็จะพยายามที่ปรับปรุงแนวความคิดของพวกเขา และประชาชนทุกสาขาอาชีพก็จะอุทิศในสายงานของตัวเอง  และจากบนลงล่าง ประเทศชาติจะได้ประโยชน์จากนโยบายเช่นนี้ และความมั่งคั่งก็จะอุบัติขึ้นส่วนคนที่เบาปัญญาที่อะไรเพียงผิวเผินจะไม่มีทางเข้าใจผลพวงอันยิ่งใหญ่นี้ได้เลย
นอกจากนี้ เรื่องราวความเป็นไปของโลกจะเดินไปข้างหน้าเสมอ ไม่มีถอยหลัง มันเป็นกฎตายตัวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นที่ นักปราชญ์กรีกโบราณที่ชื่อ เฮราไคลตัสได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีใครแหย่เท้าลงบนสายน้ำอันเดิมในแม่น้ำได้ เพราะสายน้ำมันไหลอยู่ตลอดเวลา เขาเข้าใจกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้อย่างถ่องแท้ แม้ว่าสมัยนั้น วิธีคิดในแบบประจักษ์นิยมยังไม่พัฒนาเต็มที่และวิทยาศาสตร์ก็ยังบรรพกาลอยู่ก็ตาม ดังนั้น ในสมัยนั้น ความคิดในแบบของเฮราไคลตัสดูจะเกินจริงไปสำหรับผู้คน แต่ในศตวรรษที่สิบแปด นักคิดฝรั่งเศสอย่างดิเดโรต์ (Diderot) และมาคี เดอ กองดอร์เซต์ (Condorcet) ต่างยืนยันว่า กฎวิวัฒนาการนี้ปฏิบัติการมาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา โดยเฉพาะในสังคมมนุษย์
ลามาร์ค (Lamarck) นักพฤษศาสตร์และสัตววิทยาผู้มีชื่อเสียง เป็นคนแรกที่นำเสนอทฤษฎีที่ว่า สปีชี (species) ต่างๆทุกสปีชีล้วนแต่เปลี่ยนแปลงในทุกรุ่น และไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมไปได้ตลอดกาล จากนั้น เกอเธอร์ (Goethe) แห่งเยอรมนี และจอฟฟรัว(Étienne Geoffroy Saint-Hilaire นักทฤษฎีเพื่อนร่วมงานของลามาร์ค) ได้พัฒนาทฤษฎีวิวัฒนาการของลามาร์คให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น การทดลองของเขาได้นำไปสู่ผลที่แม่นยำยิ่งขึ้นและเขาได้ค้นพบกฎแห่งการกลายพันธุ์ หลังจากที่เขาได้สืบค้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ (human species) และเปิดเผยให้เห็นถึงการวิวัฒนาการ เขาก็ทำให้ผู้คนในโลกตาสว่าง                                                  
  

Related Keywords

Germany ,Japan ,Thailand ,Belarus ,China ,France ,Greece ,London ,City Of ,United Kingdom ,Greek ,French ,Japanese ,Asia Africa ,Noonan Chi ,Chai Providence ,Marka November Health ,Society Thailand ,It Enterprises ,United Nations ,China Talisman Chai Providence ,Education Science ,East West Division ,Liberal East ,Wine Next ,Clover Spring ,Country Dempsey ,November Health ,Suffolk Aotearoa ,Suffolk Aotearoa Great ,Dempsey Forward ,Golden Age ,ஜெர்மனி ,ஜப்பான் ,தாய்லாந்து ,பெலாரஸ் ,சீனா ,பிரான்ஸ் ,கிரீஸ் ,லண்டன் ,நகரம் ஆஃப் ,ஒன்றுபட்டது கிஂக்டம் ,கிரேக்கம் ,பிரஞ்சு ,ஜப்பானிய ,சமூகம் தாய்லாந்து ,அது நிறுவனங்கள் ,ஒன்றுபட்டது நாடுகள் ,கல்வி அறிவியல் ,நவம்பர் ஆரோக்கியம் ,தங்கம் வாழ்நாள் ,

© 2025 Vimarsana

vimarsana.com © 2020. All Rights Reserved.